ตร.เมืองสุราษฎร์ฯ รวบทันควันคนร้ายชิงทองกลางห้างดัง สารภาพอยากติดคุก

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 พ.ต.อ.นิพล ชาตรี ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุร้านทองเยาวราชออมทอง ภายในห้างบิ๊กซีสุราษฎร์ธานี ต.บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี หลังมีคนร้ายเป็นชาย 1 รายก่อเหตุใช้อาวุธมีดจี้ชิงทอง ภายในห้างดังกล่าวก่อนหลบหนีไป

พ.ต.อ.นิพล กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ เบื้องต้นจากการตรวจสอบจากภาพวงจรปิดในร้านเกิดเหตุ พบว่าคนร้ายเป็นชาย 1 ราย รูปร่างผอมสูงประมาณ 180 ซม.  สวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงยีนส์ดำ สวมหมวกแก็ป ใส่แว่นดำ สวมแมสก์ไว้ใต้คาง ทำทีเข้ามาเดินซื้อทองภายในร้าน เมื่อได้จังหวะคนร้ายได้ใช้อาวุธมีดจากกระเป๋ากางเกง ขึ้นมาจี้พนักงานในร้าน ก่อนที่จะชิงเอาสร้อยทองคำหนัก 1 บาท แล้วเดินออกจากร้านไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เบื้องต้นหลังก่อเหตุคนร้ายได้ใช้ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า คลิก สีขาวดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ในการหลบหนี และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่สายตรวจตั้งจุดสกัดตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะใช้เป็นเส้นทางหลบหนีต่อไป

ล่าสุดเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 พ.ต.อ.นิพล ชาตรี ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พ.ต.ท.ยศ ชาวเรา รอง ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ร่วมกันจับกุมตัว นายโกเมศ ซ้วนเถี่ยน อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที 599/1 หมู่ที่ 2 ต.รัตภูมิ อ.ควนเนียง จ.สงขลา ผู้ต้องหาก่อเหตุพร้อมของกลางสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทจำนวน 1 เส้น รถจักรยานยนต์ และชุดที่ใช้ก่อเหตุ

พ.ต.อ.นิพล กล่าวว่า จากการสอบสวนนายโกเมศ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง ซึ่งสาเหตุที่มาก่อเหตุเนื่องจากอยากติดคุก เพราะมีความรู้สึกว่า ก่อนหน้านี้เคยติดคุกในข้อหาลักทรัพย์ ออกมารับจ้างขายโดนัทตามสี่แยกไฟแดง และได้ลาออก เนื่องจากจากคิดว่าคนที่เคยติดคุกสังคมไม่ยอมรับ ประกอบกับได้ติดค้างค่าเช่าห้อง ไฟฟ้าก็ถูกตัด และได้แรงกดดันจากแฟนขอให้ช่วยในเรื่องค่าใช้จ่าย จึงได้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว หลังก่อเหตุตั้งใจจะขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านเกิด แต่มาถูกจับกุมตัวได้เสียก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายโกเมศส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ดำเนินคดีในข้อหา ชิงทรัพย์  และพกพาอาวุธมีดไปในเมืองและโดยไม่มีเหตุอันควร

ที่มา : NewsTV

Back To Top